จำนวนการดูหน้าเว็บรวม
วันอาทิตย์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2554
วันเสาร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2554
Project Management 11/12/2011 (Part 2)
จากโจทย์
1. การเร่งงาน มีประโยชน์หรือไม่อย่างไร ให้ยกตัวอย่างประกอบ
2. การเร่งงาน ท่านคิดว่าปัจจัยอะไรที่จะต้องพ ิจารณาเป็นพิเศษ อธิบายประกอบเพื่อให้เข้าใจมากย ิ่งขึ้น
3. การเร่งงาน ที่ดี ท่านคิดว่าจะต้องเรียงลำดับความ สำคัญจากอะไรก่อนหลัง เพราะอะไร
4. การพัฒนาโปรแกรมหรือระบบสารสนเท ศใดๆ นั้น การเร่งงานมีส่วนมาเกี่ยวข้องหร ือไม่อย่างไร
1.การเร่งงานมีประโยชน์หรือไม่ อย่างไร
การเร่งงานมีประโยชน์ในการ การระดมทรัพยากรต่างๆให้เหมาสมกับงานและลดผลกระทบโดยนำสถาณการณ์วิเคราะห์สิ่งที่จะเกิดขึ้นกับโครงการการได้เช่น
1. การเร่งงาน มีประโยชน์หรือไม่อย่างไร ให้ยกตัวอย่างประกอบ
2. การเร่งงาน ท่านคิดว่าปัจจัยอะไรที่จะต้องพ
3. การเร่งงาน ที่ดี ท่านคิดว่าจะต้องเรียงลำดับความ
4. การพัฒนาโปรแกรมหรือระบบสารสนเท
1.การเร่งงานมีประโยชน์หรือไม่ อย่างไร
การเร่งงานมีประโยชน์ในการ การระดมทรัพยากรต่างๆให้เหมาสมกับงานและลดผลกระทบโดยนำสถาณการณ์วิเคราะห์สิ่งที่จะเกิดขึ้นกับโครงการการได้เช่น
- เวลาแล้วเสร็จของโครงการตามแผนใช้เวลามากกว่าเวลากำหนดไว้
- เร่งระยะเวลาทำงานของงานบางงานในโครงการให้สั้นกว่าปกติ
- ค่าใช้จ่ายของโครงการอาจสูงเกินไปถ้าปล่อยให้ดำเนินตามแผน
- เร่งเวลาอาจทำให้ค่าใช้จ่ายลดลง
- ค่าเสื่อมราคาทรัพย์สินค่าปรับ
- ค่าล่วงเวลา
- การเร่งงานต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น
- ค่าล่วงเวลา
2. การเร่งงาน ท่านคิดว่าปัจจัยอะไรที่จะต้องพ ิจารณาเป็นพิเศษ อธิบายประกอบเพื่อให้เข้าใจมากย ิ่งขึ้น
ปัจจัยของการเร่งเวลาของโครงการต้องเร่งงานที่อยู่ในสายงานวิกฤติให้เสร็จเร็วขึ้น พิจารณางานวิกฤติเพื่อเร่งให้เร็วขึ้นนั้นต้องพิจารณางานวิกฤติที่มีอัตราค่าใช้จ่ายต่อหน่วยเวลาน้อยที่สุด
รูปที่ 1 ความสัมพันธ์ค่าใ้ช้จ่ายและเวลา
โดยพยายามเร่งรัดบนเส้นทางวิกฤติให้มากที่สุด เลือกจาก ความลาดชันต่ำสุดถ้าไม่เกิดเส้นทางวิกฤติใหม่ให้เร่งรัดไปเรื่อยๆจนไม่สามารถลดได้
3. การเร่งงานที่ดีท่านคิดว่าควรลำดับจากอะไรก่อนหลังเพราะอะไร
1) กำหนดความต้องการการเร่งงานว่าต้องการให้เสร็จภายในกี่วัน
2) คำนวณเวลาเสร็จของโครงการ ระบุกิจกรรมวิกฤติ และเส้นทางวิกฤติ
3) เร่งกิจกรรมที่มีค่าใช้จ่ายต่ำสุด
4) คำนวณเวลาแล้วเสร็จถ้าไม่ได้ตามเป้าให้กลับไปทำ ข้อ 3
5) ปรับปรุงกำหนดงาน
4. การพัฒนาโปรแกรมหรือระบบสารสนเทศใดๆ นั้น การเร่งงานมีส่วนมาเกี่ยวข้องหรือไม่อย่างไร
โครงการใดๆนั้นจะประกอบด้วยกิจกรรมย่อย ที่ต้องคอยจัดการว่าจะทำอะไรก่อนหลังต้องใช้ทัรพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดให้เกิดประโยชน์สูงสุดโดย การเร่งงานและการวิเคราะห์การฟงานภายในโครงการ จะช่วยให้เราสามารถมองกิจกรรมต่างๆภายในโครงการได้ และคำนวณเวลาที่ใช้ในกิจกรรม สามารถ เลือกขั้นตอนได้อย่างเป็นระบบ
โดยเฉพาะการการพัฒนาโปรแกรมหรือระบบสารสนเทศ ที่มีโครงการใหญ่ๆและซับซ้อน ที่มีระบบงานที่กระจายเป็นระบบย่อยๆ และมี จำนวนมาก งานที่ดำเนินการอยู่อาจจำเป็นต้อง'เร่งการดำเนินการเพื่อควบคุมการทำงาน ตามแผนที่ได้วางไว้ หรือแล้วเสร็จเร็วกว่ากำหนด
โดยเฉพาะการการพัฒนาโปรแกรมหรือระบบสารสนเทศ ที่มีโครงการใหญ่ๆและซับซ้อน ที่มีระบบงานที่กระจายเป็นระบบย่อยๆ และมี
วันเสาร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2554
4/12/2011 midterm
โครงการพัฒนาระบบหน่วยบริการการแพทย์ฉุกเฉินยางสักกระโพหลุ่ม
ประกอบด้วยงานย่อย 9
งาน
ซึ่งมีลำดับการทำงานและระยะเวลาการทำงานแสดงในตารางต่อไปนี้
วันอาทิตย์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554
วันอังคารที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554
Project Management 20/11/2011
- คำถามที่ 1 เอกสาร power point หน้า 13 มีกี่เส้นทาง ที่เป็นไปได้ และเส้นทางใดเป็น critical path พร้อมบอกระยะเวลาที่วิกฤติ
- A < D < I =0+3+8+6
- B < E < G < J = 0 +5+5+4+4
- C < F < H < J =0+7+5+5+4
วิเคราะห์หาวิถีวิกฤตของข่ายงาน วิถีวิกฤตของข่ายงานประกอบด้วยกิจกรรม C, F, H และJ โดยมีเวลาแล้วเสร็จของโครงการเท่ากับ 21 วัน
2. คำถามที่ 2 ท่านคิดว่า CPM กับ PERT ต่างกันอย่างไร หน้า 19 กับ 26
ทั้งสองเป็นเทคนิคการวิเคราะห์กิจกรรมในการประเมินความเป็นไปได้ ใช้สำหรับโครงการที่มีกิจกรรมขนาดใหญ่ มีกิจกรรมย่อย ๆ หลายกิจกรรม ใช้เทคนิคการวิเคราะห์แบบเครือข่ายหรือโครงข่าย
ข้อแตกต่างชัดเจนระหว่าง PERT และ CPM คือ เวลาในการทำกิจกรรม กล่าวคือ เวลาในการทำกิจกรรมของ PERT จะเป็นเวลาโดยประมาณซึ่งคำนวณได้ด้วยการใช้ความน่าจะเป็น PERT จึงใช้กับโครงการที่ไม่เคยทำมาก่อน หรือโครงการซึ่งไม่สามารถเก็บรวบรวมเวลาของการทำกิจกรรมได้ เช่น โครงการพัฒนาวิจัย ส่วน CPM นั้น เวลาที่ใช้ในกิจกรรมจะเป็นเวลาที่แน่นอน ซึ่งคำนวณได้จากข้อมูลที่เคยทำมาก่อน เช่น อัตราการทำงานของงานแต่ละประเภท อัตราการทำงานของเครื่องจักร เป็นต้น CPM จึงใช้กับโครงการที่เคยทำมาก่อน ซึ่งมีความชำนาญแล้ว
CPM (Critical Path Method)
-ใช้วางแผนควบคุม
-ผู้วางแผนควรมีประสบการณ์
-ต้องทราบรายละเอียด เวลา ทรัพยากรล่วงหน้า
-เวลาแต่ละงานแน่นอน และมีค่าเดียว
PERT(Program Evaluation and Review Technique)
-ใช้ปรับปรุง วางแผนประเมินงานใหม่ ๆ
-ผู้ดำเนินงานไม่จำเป็นต้องมีประสบการณ์
-มีการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดงานบ่อย
-เวลา ไม่แน่นอน มี 3 ค่า จกรรมแล้วเสร็จได้เร็วที่สุด (optimistic time),กิจกรรม
แล้วเสร็จได้ช้าที่สุด (pessimistic time) ทำกิจกรรมแล้วเสร็จ
(most pikely time) ทำให้ทราบถึงเวลาแล้วเสร็จของโครงการว่าเป็นเท่าใด
และกิจกรรมใดบ้างที่อยู่ในวิถีวิกฤต
ซึ่งจะทำไปสู่การวางแผนตัดสินใจเพื่อ
ควบคุมโครงการ หรือเร่งรัดโครงการต่อไป
วันเสาร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554
ระบบหน่วยบริการการแพทย์ฉุกเฉินยางสักกระโพหลุ่ม
ระบบหน่วยบริการการแพทย์ฉุกเฉินยางสักกระโพหลุ่ม
โครงการ ระบบหน่วยบริการการแพทย์ฉุกเฉินยางสักกระโพหลุ่ม
หน่วยงานรับผิดชอบ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลยางสักกระโพ-หลุ่ม อำเภอม่วงสามสิบ
จังหวัด อุบลราชธานี
1.1 หลักการและเหตุผล
หน่วยบริการการแพทย์ฉุกเฉินโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลยางสักกระโพ-หลุ่ม
อำเภอม่วงสามสิบ จังหวัดอุบลราชธานี
ให้บริการประชาชนในเขตรับผิดชอบตั้งแต่เดือนตุลาคม 2549 เป็นต้นมา
ตามโครงการพัฒนาระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉินเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องในวโรกาสครองสิริราชสมบัติครบ
60 ปี ซึ่งเป็นโครงการความร่วมมือระหว่างสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดอุบลราชธานีกับองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุบลราชธานี
โดยรถพยาบาลของหน่วยบริการการแพทย์ฉุกเฉินและวิทยุสื่อสารประจำรถ
องค์การบริหารส่วนจังหวัดอุบลราชธานีเป็นผู้สนับสนุน
การฝึกอบรมพนักงานกู้ชีพฉุกเฉินตามหลักสูตรเวชกรฉุกเฉินระดับพื้นฐาน (EMT-B) หลักสูตร 110 ชั่วโมง
และอุปกรณ์ทางการแพทย์สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดอุบลราชธานีรับผิดชอบ
ระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉินเป็นระบบที่พัฒนาขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับอุบัติเหตุ
และการเจ็บป่วยฉุกเฉินที่ล่าช้าไม่ได้รับการช่วยเหลือการรักษาพยาบาลที่มีประสิทธิภาพและคุณภาพอย่างทันท่วงที
หน่วยบริการการแพทย์ฉุกเฉินโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลยาง-สักกระโพหลุ่ม
มีพนักงานกู้ชีพ 6 คน ผ่านการอบรมหลักสูตร EMT-B จำนวน 4 คน
และผ่านการอบรมชุดปฏิบัติการปฐมพยาบาล FR จำนวน 2 คน
มีผลการดำเนินงานเฉลี่ยเดือนละ 95 ราย
รับผิดชอบ 4 ตำบล คือ ตำบลยางสักกระโพหลุ่ม ตำบลหนองไข่นก ตำบลโพนแพง
และตำบลเตย จำนวน 40 หมู่บ้าน ประชากร
27,500 คน ในการนี้ให้บริการทุกครั้งพนักงานกู้ชีพจะต้องบันทึกรายงานการให้บริการในแบบฟอร์มรายงาน
และรายงานแจ้งศูนย์สั่งการทันทีหลังจากเสร็จสิ้นการส่งผู้ป่วยและกลับถึงที่ตั้งหน่วย
ทุกวันที่ 20 ของเดือนพนักงานกู้ชีพจะต้องจัดทำรายงาน
ส่งที่ศูนย์สั่งการเพื่อขอเบิกเงินค่าตอบแทน
ปัญหาที่พบในการปฏิบัติของพนักงานกู้ชีพ คือ การรวบรวมรายงานที่มีความซ้ำซ้อน
ไม่ครบถ้วน อ่านการวินิจฉัยโรคของแพทย์หรือพยาบาลไม่ถูกต้อง
และไม่ได้รวบรวมข้อมูลการให้บริการมาวิเคราะห์
เพื่อพัฒนาตนเองและตอบสนองความต้องการของผู้รับบริการให้มีประสิทธิภาพและคุณภาพมากที่สุดเพื่อให้เกิดความพึงพอใจของผู้รับบริการ
ดังนั้นจึงได้จัดทำและพัฒนาโปรแกรมระบบฐานข้อมูลการให้บริการของหน่วยบริการการแพทย์ฉุกเฉินขึ้น
โดยมีวัตถุประสงค์
เพื่อช่วยในการเก็บข้อมูลและประมวลผลรายงานเพื่อให้ระบบข้อมูลมีคุณภาพครบถ้วน
สามารถนำไปใช้การพัฒนาการให้บริการ เพื่อให้พนักงานกู้ชีพมีความสะดวกและรวดเร็วในการรวบรวมรายงาน
1.2 วัตถุประสงค์
1.2.2 เพื่อนำไปใช้การพัฒนาการให้บริการ
1.2.3 เพื่อให้พนักงานกู้ชีพมีความสะดวกและรวดเร็วในการรวบรวมรายงาน
1.2.4 เพื่อให้การดำเนินงานได้มาตรฐาน ครอบคลุม และมีความยั่งยืน
1.3
ขอบเขตของระบบงาน
การพัฒนาโปรแกรมระบบฐานข้อมูลหน่วยบริการการแพทย์ฉุกเฉิน
ให้เป็นที่เก็บรวบรวมข้อมูลการให้บริการของหน่วยบริการการแพทย์ฉุกเฉินยางสักกระโพหลุ่ม
ผู้จัดทำโครงการได้พิจารณาแล้วเห็นว่ามีบุคคลที่เกี่ยวข้องดังต่อไปนี้
1.3.1 ผู้ดูแลระบบ
1.3.1.1 สามารถตั้งค่าหน่วยบริการได้
1.3.1.2 สามารถเพิ่ม ลบ แก้ไข
ข้อมูลผู้ใช้งานระบบได้
1.3.2 เจ้าหน้าที่
1.3.2.1 สามารถค้าหา เพิ่ม ลบ แก้ไข้ ข้อมูลหลัก ซึ่งได้แก่
ข้อมูลประชากร
ข้อมูลเจ้าหน้าที่ ข้อมูลรถ และคู่มือการวินิจฉัยโรค ได้
1.3.2.2 สามารถนำข้อมูลตามแบบบันทึกบริการการแพทย์ฉุกเฉินมาบันทึกลงในระเบียน สามารถเพิ่ม ลบ แก้ไขข้อมูลได้
1.3.2.3 สามารถประมวลผลรายงานและพิมพ์รายงานต่างๆ เพื่อนำส่งไปยังศูนย์บริการการแพทย์ฉุกเฉิน
อุบลราชธานีและจัดเก็บข้อมูลเป็นหมวดหมู่ได้
1.4 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
1.4.1 มีสะดวกรวดเร็วในการเก็บข้อมูลประมวลผลรายงานเพื่อให้ระบบข้อมูลมีคุณภาพครบถ้วน
1.4.2 สามารถนำข้อมูลไปใช้การพัฒนาการให้บริการได้
1.4.3 มีความสะดวกและรวดเร็วในการรวบรวมรายงาน
1.4.4 การดำเนินงานได้มาตรฐาน ครอบคลุม และมีความยั่งยืน
1.4.5 สามารถนำโปรแกรมไปประยุกต์ใช้งานบนโทรศัพท์มือถือได้
1.4.5 สามารถนำโปรแกรมไปประยุกต์ใช้งานบนโทรศัพท์มือถือได้
1.5 ระยะเวลาดำเนินการ
1.6 สถานที่ดำเนินการ
โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลยางสักกระโพ-หลุ่ม อำเภอม่วงสามสิบ
จังหวัด อุบลราชธานี
1.7 วิธีการดำเนินงานโครงงาน
1.7 วิธีการดำเนินงานโครงงาน
1.7.1. ศึกษาค้นคว้าทฤษฎีและผลงานที่เกี่ยวข้อง
1.7. 2. กำหนดขอบเขตและเป้าหมายของโครงงาน
1.7.3. ค้นคว้าและรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับความต้องการของระบบ
1.7.4. วิเคราะห์และออกแบบฐานข้อมูลของระบบทั้งหมด
1.7.5. ออกแบบและพัฒนา ระบบ
1.7.6. เขียนโปรแกรมระบบและทดสอบปรับปรุงระบบ
1.7.7. จัดทำเอกสาร คู่มือการใช้
1.7.8. นำเสนอโครงการ
1.8 งบประมาณ
ใช้งบประมาณจากข้อบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. 2554 ในส่วนที่เกี่ยวข้อง ตามความจำเป็น
และเป็นไปโดยประหยัด
1.9 ผู้รับผิดชอบ
โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลยางสักกระโพ-หลุ่ม
อำเภอม่วงสามสิบ จังหวัดอุบลราชธานี
1.10 ผู้เขียนโครงการ
( นายอนุสรณ์ อุ่นท้าว)
ผู้เขียนโครงการ
1.11 ผู้พิจารณาและตรวจสอบโครงการ
ความเห็นผู้พิจารณาและตรวจสอบโครงการ....................................................................
( )
หัวหน้าส่วนฝ่ายบริการ
1.12 ผู้อนุมัติโครงการ
ความเห็นผู้อนุมัติโครงการ........................ .......................................................................
( )
ผู้อำนวยการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลยางสักกระโพ-หลุ่ม
วันศุกร์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554
การบ้านสัปดาห์ที่ 1: ฟัง vcd แล้ว สรุปประเด็นเกี่ยวกับคำว่าโครงการ
“ดูvcd
การบรรยายของท่านองคมนตรีเกษม วัฒนชัย ทั้ง. 5
ตอนใน post FB ของผม
แล้วสรุปว่าได้ทราบในประเด็นบ้างที่เกี่ยวกับคำว่าโครงการ”
คำว่า ”
โครงการ “
โครงการ คือ :
กิจกรรมหรือแผนงานที่เป็นหน่วยอิสระหนึ่งที่ สามารถทำการวิเคราะห์วางแผน
และนำไปปฏิบัติ พร้อมทั้งมีลักษณะแจ้งชัดถึงจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุด
โดยแผนสำหรับกิจการต่างๆ ต้องระบุวัตถุประสงค์ตามระยะเวลาที่กำหนด
โครงการ คือ :
การวางแผนล่วงหน้าที่จัดทำขึ้นอย่างมีระบบประกอบด้วยกิจกรรมย่อยหลายกิจกรรมที่ต้องใช้ทรัพยากรในการดำเนินงาน
และคาดหวังที่จะได้ผลตอบแทนอย่างคุ้มค่า
แต่ละโครงการมีเป้าหมายเพื่อการผลิตหรือการให้บริการเพื่อเพิ่มพูนสมรรถภาพของแผนงาน
ดังนั้นโครงการ จึงเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่ง ของการวางแผนที่จะทำให้องค์กรบรรลุวัตถุประสงค์ตามเป้าหมาย
โครงการ คือ :
กิจกรรมหรือแผนงานที่เป็นหน่วยอิสระหนึ่งที่ สามารถทำการวิเคราะห์วางแผน
และนำไปปฏิบัติ พร้อมทั้งมีลักษณะแจ้งชัดถึงจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุด
โดยแผนสำหรับกิจการต่างๆ ต้องระบุวัตถุประสงค์ตามระยะเวลาที่กำหนด
โครงการ คือ :
การวางแผนล่วงหน้าที่จัดทำขึ้นอย่างมีระบบประกอบด้วยกิจกรรมย่อยหลายกิจกรรมที่ต้องใช้ทรัพยากรในการดำเนินงาน
และคาดหวังที่จะได้ผลตอบแทนอย่างคุ้มค่า
แต่ละโครงการมีเป้าหมายเพื่อการผลิตหรือการให้บริการเพื่อเพิ่มพูนสมรรถภาพของแผนงาน
ดังนั้นโครงการ จึงเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่ง
ของการวางแผนที่จะทำให้องค์กรบรรลุวัตถุประสงค์ตามเป้าหมาย
ลักษณะของโครงการที่ดี
-
สามารถแก้ปัญหาขององค์การหรือหน่วยงานนั้น
ๆ ได้
-
มีรายละเอียด
วัตถุประสงค์เป้าหมายต่าง ๆ ชัดเจน สามารถดำเนินงานได้ มีความเป็นไปได้
-
กำหนดขึ้นอย่างมีข้อมูลความจริง(มีสถิติ
ตัวเลข ข้อมูลจากองค์กรดังกล่าว)และเป็นข้อมูลที่ได้รับการวิเคราะห์อย่างรอบคอบ
-
อ่านแล้วเข้าใจว่านี้คือโครงการอะไร
มีประโยชน์อย่างไร ทำไปเพื่ออะไร มีขอบเขตการทำแค่ไหน
-
มีระยะเวลาในการดำเนินงานแน่นอน
ระบุวันเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุด
-
สามารถติดตามประเมินผลได้
จากที่ได้ฟังจาก
vcd
ทั้ง 5 ตอน พอสรุปที่ได้ประเด็นที่เกี่ยวกับโครงการได้ดังนี้
1. ประเด็นในเรื่องของหลักการทรงงาน
ประเด็นนี้จะเป็นประเด็นที่เกี่ยวข้องกับโครงการคือ
-หลักคิด
โดย หลักคิด จะทำให้รู้ว่า เราจะทำอะไร เพื่อประโยชน์อะไร ในทำนองเดียวกัน
ว่าเราจะทำโครงการ เกี่ยวกับอะไร ทำโครงการนี้เพื่อประโยชน์อะไร
- หลักวิชา
จะทำอย่างไรจึงจะถูกต้อง ประหยัด และได้ผล เหมือนเป็นการหาวิธี
หรือหาข้อมูลเพื่อจะทำงาน เหมือนเราจะทำโครงการอะไร เราก็ต้องมีวิธี
หรือแนวทางเพื่อนำปฏิบัติเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์
-หลักปฏิบัติ
ก็คือวิธีปฏิบัติ เพื่อนำไปสู่ผลลัพธ์ และสามารถนำประเมินผลได้
ซึ่งโครงการที่ดีก็ต้องสามารถปฏิบัติได้และสามารถประเมินผลได้
2. ประเด็นในเรื่องการทำงานอย่างผู้รู้จริง
ต้องมีศึกษาข้อมูลรายละเอียดอย่างรอบคอบและครบถ้วน เพื่อให้เข้าใจและสามารถลงมือปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง
ตรงตามวัตถุประสงค์
ข้อคิดเห็น :
ทุกประเด็นที่ท่านองคมนตรีเกษม วัฒนชัย ที่ได้กล่าวมาใน vcd
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเข้าใจ เข้าถึง การพัฒนา หรือแม้แต่การ
รู้รัก สามัคคี ล้วนมีส่วนที่เกี่ยวกับการทำโครงการให้ประสบผลสำเร็จ และ
ยังสามารถนำมาปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้อีกด้วย
วันเสาร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2554
การบ้านวันที่ 17/09/2554 คลังบทความ 3 เรื่อง
เข้าไปที่ Blog
http://mis-manoon.blogspot.com/ ซึ่งจะมีคลังบทความอยู่ด้านขวามือ
มีด้วยกัน 3 เรื่อง โดยให้ทุกท่านอ่านบทความทั้ง 3 ซึ่งจะมีคำถามอยู่ในบทความนั้น
แล้วให้เขียนตอบให้ Blog ของท่าน
1. กรณีศึกษาที่น่าสนใจเกี่ยวกับระบบสารสนเทศ
คำถาม :
จากข้อมูลของทั้ง 9 องค์การ ท่านสนใจองค์การใดมากที่สุด เพราะอะไร
แล้วหากท่านได้รับมอบหมายในการพัฒนาระบบสารสนเทศองค์การดังกล่าว
(องค์การที่ท่านสนใจมากที่สุดนั้น) ท่านคิดว่าจะพัฒนาระบบอะไรเพิ่มเติม
พร้อมในเหตุผล
คำตอบ : องค์การที่
5
ธุรกิจผลิตและจำหน่ายสินค้า เพราะ องค์การนี้นับว่ามีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจ
หากมีระบบงานที่จะมาช่วยให้ องค์การนี้มีการพัฒนาก็จะเป็นการช่วยส่งเสริมให้มีเศรษฐกิจที่ดีขึ้น
หากได้รับมอบหมายในการพัฒนานาระบบสารสนเทศองค์การธุรกิจผลิตและจำหน่ายสินค้านี้
คิดว่าจะพัฒนาระบบวางแผนการจัดซื้อ เพราะเมื่อมีระบบการวางแผนที่ดีแล้วนั้นจึงสามารถวางแผนการจัดซื้อ
วัตถุดิบ จัดการการผลิต และดำเนินการตามคำสั่งซื้อของลูกค้า
ทำให้มีการรวมฝ่ายจัดซื้อของโรงงานต่าง ๆ มาอยู่ด้วยกัน ประโยชน์ที่ได้คือ
ลดจำนวนพนักงาน สามารถทราบข้อมูลปริมาณวัตถุดิบในคงคลังได้ทันที เป็นต้น
2.
โครงการด้านระบบสารสนเทศที่อาจจะสนองพระราชดำริในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ
คำถาม :
ท่านคิดว่าจะสามารถพัฒนาหรือปรับปรุงระบบสารสนเทศเป็นอย่างแบบใดอย่างไรบ้าง
พร้อมให้เหตุผลประกอบ
คำตอบ: ปรับปรุงระบบการเรียนการสอนแบบออนไลน์(e-learning) ซึ่งในปัจจุบันก็ได้มีการพัฒนาระบบนี้อยู่ แต่ควรปรับปรุงรูปแบบให้นักเรียน หรือแม้แต่บุคคลทั่วไปที่ต้องการศึกษาหาความรู้ โดย ระบบการเรียนการสอนแบบออนไลน์ในตอนนี้ สามารถให้นักเรียน เลือกหลักสูตร เลือกวิชาเรียน ศึกษาบทเรียน แทรกไฟล์ ดูผลการเรียนเป็นต้น ดังนั้นจึงควรปรับปรุงให้มีการมีการตอบโต้ หรือ สามารถให้แสดงความคิดเห็นในเรื่องนั้นๆที่มีการเรียนการสอน ครูก็จะทราบความคิดเห็นของนักเรียน ได้รับความคิดเห็นที่หลากหลาย จากหลายคนๆ หลาย website ที่ถูกอ้างอิง ทำให้เด็กฝึกทักษะในการแสดงความคิด การเรียนการสอนมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย
3. โครงการที่ตอบสนองนโยบายรัฐบาล
ด้านระบบสารสนเทศ
คำถาม :
ท่านคิดว่าการพัฒนาระบบสารสนเทศดังกล่าว ควรจะต้องมีระบบ e-service,
web-service, front and back office หรือไม่อย่างไร
และหากมีควรจะมีอะไรบ้างพร้อมระบุเหตุผลประกอบเพื่อจะได้นำไปปฏิิบัติได้ จริง
คำตอบ : คิดว่าการพัฒนาระบบสารสนเทศดังกล่าว
ควรจะต้องมีระบบ e-service,
web-service, front and back office เพื่อสอดรับกับมติคณะรัฐมนตรี นโยบายของรัฐบาลด้านการวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี
การวิจัยและนวัตกรรม (การใช้ข้อมูลภูมิสารสนเทศเพื่อการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติ)
และโครงการของสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา และประเด็นเสนอเพื่อพิจารณา ดำเนินโครงการ
“ศูนย์จัดการความรู้เพื่อพัฒนาจังหวัดอุบลราชธานี และ จังหวัดมุกดาหาร”
โดยมีลักษณะรูปแบบที่เป็นอิเล็กทรอนิกส์ด้านทรัพยากรธรรมชาติ
อุตสาหกรรม การเกษตร วัฒนธรรม และด้านอื่นๆ ในระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์
ซึ่งจากนโยบายเหล่านี้ e-service ,web-service จะช่วยให้บริการในด้านข้อมูล
ให้ความสะดวกรวดเร็วในการให้บริการประชาชน และสามารถเป็นศูนย์ในการพัฒนา
การจัดการองค์ความรู้เป็นคลังข้อมูลของแต่ละ จังหวัดในสถาบันอุดมศึกษาทุกจังหวัด front and back office ช่วยในการจัดเก็บข้อมูลที่ถูกต้องและทันสมัย
มีการใช้ฐานข้อมูลร่วมทำให้ระบบมีการที่มีประสิทธิภาพ สามารถรองรับนโยบายที่กล่าวมาได้
การบ้านวันที่ 17/09/2554 ศูนย์ข้อมูลกลางทางวัฒนธรรม
เข้าไปที่ http://m-culture.in.th/ แล้วทดลอง ลงทะเบียนใช้งาน แล้วหลังจากนั้น
ให้วิจารณ์ระบบดังกล่าว โดยเขียนในลงบทความของท่าน
ศูนย์ข้อมูลกลางทางวัฒนธรรมนี้ เป็นเว็ปไซต์ชุมชนสำหรับรวบรวมข้อมูลทางวัฒนธรรมของชาติ
ประกอบด้วยข้อมูลของบุคคลหรือองค์กรทางวัฒนธรรม เช่น ปราชญ์ชาวบ้าน บุคคลสำคัญทางศาสนา
เป็นต้น สิ่งประดิษฐ์ทางวัฒนธรรม รวมถึง โบราณวัตถุ หนังสือ งานศิลปะ
เครื่องแต่งกาย วิถีชีวิต ภูมิปัญญา ตลอดจนสถานที่ทางวัฒนธรรม และแหล่งท่องเที่ยว
ภาพถ่าย วีดิทัศน์ และภาพแอนิเมชั่นประกอบข้อความ ตลอดจนประสบการณ์และความคิดเห็นที่นำเสนอในเว็บไซต์นี้
รวบรวมและแบ่งปันโดยสมาชิก และกลั่นกรองข้อมูลอีกชั้นหนึ่งโดยวัฒนธรรมจังหวัด
กระทรวงวัฒนธรรม
เว็ปไซต์ของศูนย์ข้อมูลกลางทางวัฒนธรรมนี้
เป็นระบบที่จัดทำขึ้นเพื่อบริการประชาชน
เพื่อให้ความรู้ทางวัฒนธรรมอย่างสร้างสรรค์ มีการนำเอาเทคโนโลยีมาช่วยในการเผยแพร่องค์ความรู้ทางวัฒนธรรม
โดยมีเทคนิคที่ดีในการนำเสนอ คือ ให้มีระบบที่สามารถสมาชิกได้ แล้วให้สามารถ Upload ข้อมูล
ไม่ว่าจะเป็นไฟล์รูปภาพ ไฟล์วีดีโอเป็นต้น แล้วแชร์ข้อมูลกัน
ซึ่งล้วนทำให้ผู้เยี่ยมชม หรือผู้รับบริการ ให้ความสนใจมากยิ่งขึ้น
เป็นระบบที่มีความสะดวกสบายในการค้นหาเพราะสามารถค้นหาได้หลากหลายวิธี
เช่นค้นหาตามจังหวัด ตามหมวดหมู่เป็นต้น
ศูนย์ข้อมูลกลางทางวัฒนธรรม
นับได้ว่าเป็นการระบบที่มีการรวบรวมและบันทึกองค์ความรู้วัฒนธรรม
ทั้งทางด้านคุณภาพ ความครอบคลุมและความเป็นปัจจุบันได้เป็นอย่างดี
วันพฤหัสบดีที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2554
Concept Font Office for Smart Office Development
จากบทความเรื่อง "การพัฒนาเทคโนโลยี Smart Office ของกรมสรรพสามิต" การพัฒนา ระบบFont Office ของกรมสรรพสามิต ควรมีการเชื่อมโยง National Single Window ของกรมศุลกากร เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการให้บริการของหน่วยงานจัดเก็บภาษีและอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ประกอบการในการขอใบอนุญาตนำเข้า ขนส่ง สุรา ยาสูบ ไพ่ ซึ่งผู้ประกอบการสามารถยื่นคำขอใบอนุญาตนำเข้าสุรา ยาสูบ ไพ่ ได้ที่หน่วยงานของกรมสรรพสามิตเพียงแห่งเดียว เพื่อให้สอดคล้องกับการให้บริการในยุคโลกาภิวัฒน์ และรองรับการค้าแบบไร้เอกสาร(Paperless Trading)ระบบFont Office ของกรมสรรพสามิตควรประกอบด้วย
ด้าน Software
ควรเป็นการลงทุนแบบ ขอความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเชื่อมโยงข้อมูลโดยใช้เครื่องมือทางด้านอิเล็กทรอนิกส์ หรือระบบเทคโนโลยีสารสนเทศของหลายๆหน่วยงาน เพื่อรวมศูนย์เข้าสู่ฐานข้อมูลเดียวกัน โดยมุ่งเน้นให้เกิดความสะดวกรวดเร็ว ลดขั้นตอนงานที่ซ้ำซ้อนลง ตลอดจนการบูรณาการแนวคิด และยุทธศาสตร์ ให้ตอบรับกับระบบงานระหว่างส่วนราชการด้วยกัน (Government to Government: G2G) และระบบงานระหว่างส่วนราชการกับภาคเอกชน (Government to Business: G2B) ซึ่งโดยปกติแล้ว ก็จจากการเร่งรัดะมีการรับ-ส่งข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ เชื่อมระบบกันในภาคธุรกิจต่อธุรกิจ หรือภาคเอกชนด้วย (Business to Business: B2B)
ด้าน Software
- ระบบการออกใบอนุญาติแบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Licensing) หรือการออกใบรับรองแบบอิเล็กทรอนิกส์(e-Certificate) เพื่ออำนวยความสะดวกรวดเร็วในการ ออกและขอใบอนุญาติ ,ใบรับรอง การจดทะเบียนสรรพสามิต เพื่อการทำงานสอดคล้องกับระบบ ศุลกากรอิเล็กทรอนิกส์(e-Costoms)ของกรมศุลการกร ในส่วนนี้กรมสรรพสามิตควรมี Back Office เชื่อมโยงข้อมูลกับ ระบบลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์(Digital Signature) กับองค์กรรับรองความถูกต้อง(Certificate Authority หรือCA) เพื่อใช้ในการดำเนินธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์
- ระบบการเคลื่อนย้ายสินค้าสรรพสามิตโดยใช้เทคโนโลยี RFID:Radio Frequency Identification (e-Transition) เพื่ออำนวยความสะดวกในการติดตามสินค้าสรรพสามิตของผู้ประกอบการ
- ระบบการคืนภาษีสรรพสามิต(e-Drawback) เป็นการให้สิทธิประโยชน์ในการคืนอากรสำหรับผู้ประกอบการ สำหรับงานขอคืน ยกเว้นภาษีสรรพสามิตและการหักลดหย่อนภาษีสรรพสามิต
- ระบบชำระภาษีสรรพสามิต(e-Payment)เพื่่อความสะดวกรวดเร็วในการชำระเงินให้แก่ผู้ประกอบการ
- ระบบคลังสินค้าทัณฑ์บน (e-Wearehousing) เพื่อจัดการและให้บริการเรื่องการจัดเก็บสินค้าสรรพสามิต
ควรเป็นการลงทุนแบบ ขอความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเชื่อมโยงข้อมูลโดยใช้เครื่องมือทางด้านอิเล็กทรอนิกส์ หรือระบบเทคโนโลยีสารสนเทศของหลายๆหน่วยงาน เพื่อรวมศูนย์เข้าสู่ฐานข้อมูลเดียวกัน โดยมุ่งเน้นให้เกิดความสะดวกรวดเร็ว ลดขั้นตอนงานที่ซ้ำซ้อนลง ตลอดจนการบูรณาการแนวคิด และยุทธศาสตร์ ให้ตอบรับกับระบบงานระหว่างส่วนราชการด้วยกัน (Government to Government: G2G) และระบบงานระหว่างส่วนราชการกับภาคเอกชน (Government to Business: G2B) ซึ่งโดยปกติแล้ว ก็จจากการเร่งรัดะมีการรับ-ส่งข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ เชื่อมระบบกันในภาคธุรกิจต่อธุรกิจ หรือภาคเอกชนด้วย (Business to Business: B2B)
- เทคโนโลยีเสมือน (Virtualization Technology)การจำลองเครื่องเสมือนให้สามารถใช้งานระบบประมวลผ หน่วยความจำ และฮาร์ดดิสก์ร่วมกันได้ในส่วนประกอบของเซิร์ฟเวอร์และสตอเรจ ผ่านทางระบบจัดการทรัพยากรส่วนกลาง ทำให้มีการใช้งานทรัพยากรไอทีได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถลดต้นทุนได้ในระยะยาว
- ระบบประมวลผลก้อนเมฆ (Cloud Computing) รูปแบบของการนำทรัพยากรไอทีทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์มาแบ่งกันใช้งานในลักษณะของการให้บริการ (Service) โดยมีการใช้งานผ่านทางอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงจากที่ต่างๆ ของโลก ซึ่งรูปแบบของการให้บริการแบบนี้สามารถแบ่งได้ออกเป็น 1) Private Cloud 2) Public Cloud และ 3) Hybrid Cloud ซึ่งเป็นการนำเอา Private Cloud และ Public Cloud มาทำงานร่วมกัน ซึ่งการใช้บริการนี้จะทำให้กรมสรรพสามิต สามารถลดต้นทุนไปได้มาก เพราะเป็นการใช้งานแบบจ่ายตามจริง
- เทคโนโลยีจัดเก็บข้อมูลผ่านทางไอพี (IP Storage Technology)บนมาตรฐานไอสกัสซี (Small Computer Systems Interface over IP : iSCCI) ซึ่งเป็นการเข้าถึงอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลผ่านเครือข่าย มีจุดเด่นอยู่ที่การบริหารจัดการข้อมูลแบบรวมศูนย์ โดยการเชื่อต่อกับเซิร์ฟเวอร์ทุกตัวภายในองค์กรด้วยใยแก้วนำแสง (Fiber Channel) จึงทำให้ส่งผ่านข้อมูลขนาดใหญ่ได้อย่างรวดเร็ว และสามารถดึงข้อมูลจากจุดใดก็ได้ การบริหารข้อมูลแบบนี้ช่วยลดต้นทุนในการจัดการและบำรุงรักษาได้มากกว่าการจัดเก็บข้อมูลแบบหลายจุด หรือการจัดเก็บที่เซิร์ฟเวอร์โดยตรง
- ทำการพัฒนาศักยภาพบุคลากรในการใช้ Software และ Hardware ให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการทำงานสูงสุด
- จัดอบรมการวิธีดูแลรักษา Software และ Hardware เพื่อให้ระบบต่างๆเพื่อการคงสภาพการใช้งานของระบบ
วันพุธที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2554
CRM & Front to Back office
Customer Relationship Management : CRM คือ การสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า โดยการใช้เทคโนโลยีและการใช้บุคลากรอย่างมีหลักการจะช่วยให้เกิดการบริการลูกค้าที่ดีขึ้น การเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลพฤติกรรมในการใช้จ่ายและความต้องการของลูกค้า ทำให้เกิดประโยชน์ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือการบริการรวมไปถึง นโยบายในด้านการจัดการ
Font Office คือ ระบบจัดการที่เกี่ยวข้องกับการอำนวยความสะดวกแก่ผู้บริโภค
Back Office คือ ระบบจัดการภายในองค์กร
อ้างถึง บทความ "องค์กรในฝัน Font-To-Back-Office" และ โจทย์ที่ถามไว้ว่า "ระบบ CRM จะกลายเป็น Font-To-Back-Office ได้อย่างไร"
พื้นฐาน ของ Font-To-Back-Office ประกอบด้วย
บริการแบบจุดเดียวเบ็ดเสร็จนี้้จะช่วยอำนวยความสะดวกสบาย ,ประหยัดทรัพยากรณ์ ด้านบุคคล เวลา และ สถานที่ ตลอดจนบริหารความสัมพันธ์ลูกค้าได้มีประสิทธิภาพ
Back Office CRM เป็นระบบที่อยู่ในส่วนการวิเคราะห์ข้อมูลและใช้ให้เกิดประโยชน์ ในการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า โดยการเก็บรวบรวมข้อมูลลูกค้าได้อย่างมีระบบ และนำมาใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ระบบสมนาคุณลูกค้า บริษัทสามารถมอบของกำนัลให้แก่ลูกค้าในวันคล้ายวันเกิดของลูกค้า โดยดึงเอาข้อมูลจากประวัติลูกค้า ระบบให้ข้อมูลตัวอย่างสินค้า โดยระบบจะให้ข้อข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวที่ตรงกับข้อมูลที่ลูกค้าสนใจ เป็นต้น
Font Office คือ ระบบจัดการที่เกี่ยวข้องกับการอำนวยความสะดวกแก่ผู้บริโภค
Back Office คือ ระบบจัดการภายในองค์กร
อ้างถึง บทความ "องค์กรในฝัน Font-To-Back-Office" และ โจทย์ที่ถามไว้ว่า "ระบบ CRM จะกลายเป็น Font-To-Back-Office ได้อย่างไร"
พื้นฐาน ของ Font-To-Back-Office ประกอบด้วย
- การบริหารความสัมพันธ์ลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิ์ภาพ
- การบริหารจัดการต้นทุนธุรกิจที่ลดลง และการเพิ่มขึ้นของกำไรในที่สุด
- เพิ่มขีดความสามารถของการแข่งขันขององค์กรในระยะยาว
Back Office CRM เป็นระบบที่อยู่ในส่วนการวิเคราะห์ข้อมูลและใช้ให้เกิดประโยชน์ ในการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า โดยการเก็บรวบรวมข้อมูลลูกค้าได้อย่างมีระบบ และนำมาใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ระบบสมนาคุณลูกค้า บริษัทสามารถมอบของกำนัลให้แก่ลูกค้าในวันคล้ายวันเกิดของลูกค้า โดยดึงเอาข้อมูลจากประวัติลูกค้า ระบบให้ข้อมูลตัวอย่างสินค้า โดยระบบจะให้ข้อข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวที่ตรงกับข้อมูลที่ลูกค้าสนใจ เป็นต้น
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)